สืบเนื่องจาก การที่พ่อบีได้รับเครื่องรางของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์จากรุ่นพี่ที่มาเที่ยวฮ่องกง จึงทำให้แม่นิกสนใจ อยากไปมูที่ฮ่องกงบ้างดูสักตั้ง เพราะเคยไปฮ่องกงหลายครั้ง แต่ไปเพื่อเป็นสายช้อป ยังไม่เคยเป็นสายมูจริงจัง และ เด็กๆ ก็ยังไม่เคยได้ไปเที่ยวฮ่องกงเลย จึงถือโอกาสปิดเทอมใหญ่ พาเด็กๆ สองซน ไป HK Disneyland ด้วย และพ่อแม่ก็จะไปมูด้วย เลยจัดไป กับทริปกลางปี
เริ่มต้นรีวิวกับ Hongkong Airline
ก่อนเดินทาง เห็นโพสต์ใน facebook ของกลุ่มคนเที่ยวฮ่องกงแล้วว่า ฮ่องกงช่วงนี้มีแต่ตั๋วเครื่องบินที่ถูก นอกนั้นแพงหมด อันนี้ไม่เกินจริงเลย เพิ่งมาได้พบเจอกับตัวเอง
สิ่งที่ถูก จนยั่วใจ ไม่ให้กดจองไม่ได้ คือ ตั๋วเครื่องบิน ราคาถูก ที่จองได้จาก Hongkong Airline
เพิ่งรู้หลังการจอง ว่า น่าจะเป็น Low cost Airline ของ Hongkong
ค่าตั๋วถูกจริง เพราะไป-กลับ ราคาที่เราได้คือ ไม่เกิน 6,000 บาท
แลกมากลับ กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องคนละ 20kg
และแลกมากับ…
– การถูกเลื่อนไฟลต์ ในขาไป คือ ตอนที่จอง ให้เลือกรอบบินเยอะมาก และเป็นรอบที่ติดๆกัน แต่อาจจะเป็นเพราะ จำนวนผู้โดยสารในแต่ละรอบน้อยเกินไปหรืออย่างไร ถึงได้ถูกยุบรอบ และต้องเลื่อนเป็นไฟลต์อื่นแทน อันนี้ทางสายการบินไม่ได้ให้เหตุผล แต่เป็นการคาดคะเนของเราเอง
จากเดิมที่คาดว่า จะออกบินไฟลต์เช้ามืด คือ 4น. เพราะจะได้นอนเอาแรงไว้ก่อนบ้าง ตอนกลางคืน ถูกเลื่อนเป็น 2น. ทำให้ ไม่ได้นอนเลย บนเครื่องก็นอนหลับไม่ได้ เพราะบนเครื่องเปิดไฟไว้ตลอด แต่คนอื่นๆ หลับได้นะ แต่อาจจะด้วยเพราะเราเป็นคนนอนหลับยากเอง แต่สรุปก็คือ เลื่อนเดินทางมาเป็นเวลาแบบนี้ ไม่เวิร์คเลยสำหรับเรา
– ถูกเลื่อนไฟลต์ ขากลับ หลังจากที่ได้จองที่นั่งไปเรียบร้อยแล้ว อาจจะด้วยเพราะมีเหตุการณ์ Crowdstrike ที่ หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows ทั่วโลกเกิดขัดข้องกันทั้งหมด เลยอาจจะส่งผลให้ มีผู้โดยสานตกค้างหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ จึงทำให้เราได้รับข้อความแจ้งเตือนการเลื่อนเวลาออกเดินทางในช่วงขากลับ โดยถูกเลื่อนออกไปอีก 1 ชั่วโมง จากเวลาที่ควรจะถึงเมืองไทย 20:35 เป็น 21:35 น. แทน แต่ด้วยสภาพอากาศที่ฮ่องกง ตอนขากลับ ที่ทำให้ ไฟลท์ต้องดีเลย์ออกไปอีก 40 นาที ทำให้กลับถึงประเทศไทย ดึกไปอีก คือ ประมาณ 22:40 น.ได้ กว่าจะรอกระเป๋า กว่าจะได้ออกมา ถึงบ้าน เที่ยงคืนพอดี จ้า
– จองที่นั่งไม่ฟรี คงเป็นเรื่องปกติ ของสายการบิน Low cost ที่จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติม หากต้องการเลือกที่นั่ง ทำให้เราโดนบวกเพิ่มไปอีก จากค่าตั๋วเครื่องบินตอนแรกที่ดูเหมือนจะราคาถูก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่โดนเลื่อนไฟลต์ หรือ เลื่อนรอบบิน มันมีการปรับเปลี่ยนเครื่องบินที่ใช้จองตอนแรกออกไปด้วย ทำให้ ที่นั่งที่เราจองไว้ตอนแรก ที่ควรจะได้นั่งติดกันทั้งหมด ก็ต้องถูกปรับเปลี่ยนไปตามเครื่องบินที่ใช้ออกเดินทางจริงๆ
โดยสรุปแล้ว สำหรับสายการบิน Hongkong Airline ที่ได้ใช้บริการในครั้งแรกนี้ ถามว่าประทับใจไหม บอกเลยว่าไม่ และคงไม่กล้าใช้บริการอีก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเจอ เป็นเรื่องปกติที่พบบ่อยของสายการบินนี้ไหม แต่เราไปครั้งเดียวเจอแจ็คพอตแบบนี้ เราคงไม่กล้าใช้บริการอีกแล้ว นี่ดีว่า เรายังไม่ของ Hongkong Airline สำหรับ destination อื่นๆ ต่อไป เพราะกะว่า จะลองดูก่อนว่า work ไหม ถ้าจอง flight ที่ต้องมี connecting flight ต่อ แล้วเจอ delay หรือปรับรอบบินแบบนี้ พังแน่ๆเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่ดีมากๆ สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินในครั้งนี้ คือ การจองผ่าน Trip.com ที่เราชอบคือ เมื่อสายการบินมีการเลื่อน flight มันจะขึ้น alert เตือนเราเร็วมาก และ ในกรณีที่ใกล้วันเดินทาง อย่างที่เราโดนในรอบขากลับ มันขึ้นเตือนทั้ง app notification ทั้ง call ผ่าน Trip app และทั้งโทรเข้าเบอร์โทรศัพท์ที่เราให้ไว้อีก แม้จะเป็นระบบสายอัตโนมัติ แต่ก็ถือว่าทำดีมากๆ ในการช่วย alert ให้เรารับทราบโดยทันที
Miracle Lounge
เนื่องจากได้ใช้สิทธิ์ห้องรับรองสนามบินฟรี จากบัตรเครดิต TTB Absolute และได้สิทธิ์จากการเป็นสามชิกของ Trip.com ทำให้เราสามารถใช้บริการจาก Miracle Lounge แห่งนี้ฟรี



ตอนแรกนึกว่าเด็กๆจะใช้เวลาใน Lounge นี้ นอนพักผ่อน ที่ไหนได้ ตาแข็ง ร่าเริง กระปรี้กระเปร่า จนถึงเวลาขึ้นเครื่อง ไม่มีท่าทีว่า จะง่วงเลยสักนิด
Peak Tram
ที่เที่ยวลำดับแรกที่เราไป หลังจากลงเครื่องก็คือ Peak Tram
ด้วยความสะโหลสะเหล เพราะไม่ได้นอนหลับแบบสนิท จากการถูกเลื่อนไฟลท์
และทั้งเหนื่อยและเพลีย จากการเดินทาง
ทำให้ การไปเที่ยวในที่แรกของเรา เป็นแบบ มึนๆ อึนๆ สักหน่อย
แม้แต่เด็กน้อย อย่างซัน ก็ยังเดินแทบไม่ไหว
พ่อบีก็ลืมดูไปว่า เส้นทางที่ต้องเดินไป เป็นเส้นทางเดินแบบขึ้นเขา ทำให้ทุลักทุเลหน่อยกว่าจะไปถึง
ทั้งๆที่ความเป็นจริง เราสามารถนั่งรถเมล์ไปถึงที่ได้




ส่วนสกาย ก็คงเพลียเช่นกัน หลังจากเข็นไปมาบน Sky Terrace สักพัก ก็เริ่มหลับ
ทำให้ตอนที่ถ่ายรูป เด็กๆ ยิ้มกันไม่ค่อยออกเลย
Legoland Discovery Center
จุดต่อไปคือ Legoland Discovery Center ด้วยความที่ปีที่แล้วที่ได้ไป Legoland Japan แล้วยังรู้สึกว่า เที่ยวไม่หนำใจ จึงอยากให้เด็กๆ ได้มาสัมผัสกับการเล่น Legoland อีกครั้ง จึงได้ หาข้อมูลไปมา จึงได้พบว่า ที่ ฮ่องกงนั้นก็มี Legoland แต่เป็น Legoland Discovery Center อารมณ์คล้ายๆ สนามเด็กเล่นเด็กในร่ม คล้ายๆกับ Harbourland บ้านเรา แต่เล็กกว่า และเน้นตัวต่อ และตัวละครของ Lego
ค่าเข้าประมาณ 250 HKD ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สามารถเล่นได้ 3 ชั่วโมง
มีเวลาให้เข้าได้เป็นรอบๆ ทุกๆ 30 นาที
จองผ่าน Trip.com (อีกแล้ว) ราคาถูกกว่า หน้างานจริง และกดใน app ได้ QR code แสดงตอนเข้าได้ทันที
แต่ช่วงที่เราจอง ต้องรออีกประมาณ 1.5 ชม. กว่า จะถึงรอบเรา จึงได้ใช้เวลาช่วงนี้ในการนั่งรอ และงีบหลับรอเวลา ได้พักผ่อนสายตาและสมอง คอยยังชั่วหน่อย
ส่วนสกาย ก็หลับยาวต่อเนื่องตั้งแต่ 10 โมง ที่ยังอยู่ Peak Tram จนมาถึงที่ Legoland จนพ่อบีบ่นว่าไม่คุ้มค่าตั๋วสุดๆ พยายามกวนลูกให้ตื่น จนในที่สุดก็ตื่นจนได้ และได้เล่นใน Legoland แค่ 10 นาทีสุดท้าย ก่อนที่จะได้ครบเวลาแล้วออกมา






ส่วนเฮียซันนั้น ได้เล่น ครบเวลา ตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย วนเล่นยิงปืนไปมาอยู่ 4-5 รอบ ต่อตัว Lego เป็นรถแข่งซะสนุกเลย
Kai Kai Desert
เดิมในวันแรก เราแพลนไว้ว่า เราจะไปนั่งรอดู Symphony of Lights และ ช้อปปิ้งแถวจิ่มซาจุ่ยไว้ด้วย แต่ผลจากการเดินทางที่ถูกเลื่อนไฟลท์แล้วไม่ได้พักผ่อน ส่งผลให้พวกเราเหนื่อยล้ากันมากๆ จึงต้องยกยอดไว้วันรุ่งขึ้น
แต่ก็ไม่วาย ขอทำภารกิจนึงก่อนกลับ เนื่องจากเป็นทางผ่านก่อนไปถึงโรงแรม คือ แวะทานบัวลอยน้ำขิง ที่ร้าน Kai Kai Desert
จริงๆร้านนี้ น้าไนซ์ เคยพามาทานแล้ว เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน แล้วยังมีความติดใจในรสชาติ บัวลอยน้ำขิง ที่หาทานที่เมืองไทย ก็ไม่มีที่ไหนทำเหมือน ก็เลยต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จให้ได้

สุดท้ายก็ได้มาตามที่ตั้งใจไว้ แม่นิกขอเบิ้ลไป 2 ถ้วย ให้หายอยากกันไปเลย ราคาตกถ้วยละ 100 บาทไทย อยากร้องไห้ในส่วนของราคา แต่ก็ต้องทำเพราะใจสั่งมา >-<
Royal Plaza Hotel
ที่ผ่านมาในอดีต สมัยยังสาวๆ ที่แปลงกายเป็น Backpacker มากับน้องๆและเพื่อนๆ ไม่เคยได้นอนโรงแรมเลย เพราะค่าห้องพักราคาสูงมากในฮ่องกง จึงพักแต่ Hostel โดยเฉพาะใน Chung King Mansion
แต่พอโตมา ก็ได้เรียนรู้แล้วว่า ใน Chung King Mansion นั้นไม่ปลอดภัยเลย ตลกดีที่เราเองยังเคยเก็บไปฝันด้วยซ้ำว่า Chung King Mansion นั้น ได้กลายเป็นที่อยู่ของซอมบี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ไม่รู้ฝันแบบนั้นได้ไง 555)
เพราะฉะนั้น ยิ่งพอมีลูกแล้ว จึงทำให้ต้องนอนโรงแรมแทนดีกว่า เลือกไปเลือกมา เราก็มาจบที่ Royal Plaza Hotel แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต อย่างจิ่มซาจุ่ย แต่ก็อยู่ในแหล่งการค้า อย่าง ม่งก๊ก และตัวโรงแรมเองก็อยู่ในห้าง ซึ่งต่อกับ MTR Mongkok East อีกที ทำให้การเดินทางก็ไม่ได้แย่นักเท่าไหร่
และเราเองก็เพิ่งจะมารู้ในคืนสุดท้าย ว่าความจริง นั่ง MTR Mongkok East Station แต่เปลี่ยนสายจาก East Rail Line มาเป็น Tuen Ma Line แค่นิดหน่อย ก็ถึง MTR Tsim Sha Tsui ได้เช่นกัน และไม่ต้องเดินไกลด้วยที่สำคัญคือ พอมาสายนี้ ก็ทำให้ได้เจอกับ ขบวนที่ตกแต่งตามเทศกาลครบ 100 ปี Doraemon ด้วย



โรงแรมนี้ ถือว่า ทำเลโอเค ที่พักใช้ได้ นอนสบาย เรามาถึงดึก ตอน Check-in ได้ upgrade เป็นห้องที่ใหญ่ขึ้น เลยได้ ห้องพักที่มีทั้งอ่างอาบน้ำ และ ส่วน Shower แยกกันต่างหาก
โดยรวมๆแล้วดีหมด แต่ติดนิดนึงที่ แอร์ไม่เย็นเท่าไหร่ ทั้งๆที่ตั้งไว้ 18 องศา และตู้เย็น ก็ไม่มีความเย็นเอาเสียเลย ทำให้แช่น้ำให้เย็นไม่ได้
สายมูกับ Private Trip ไหว้พระ 5 วัด
อย่างที่บอกว่า เรามาที่ฮ่องกงหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยได้มาไหว้พระแบบจริงๆจังๆเลย
ไหนๆ ครั้งนี้ก็ตั้งใจมา มู ก็เลย จัดเต็มไปกับ Private Trip ให้มีไกด์พาไหว้ พามู กันทุกวัดเลย
วัดเจ้าแม่กวนอิมริมทะเล Repulse Bay
วัดหวังต้าเซียน
วัดแชกง
วัดเจ้าแม่กวนอิมฮองฮำ
วัดกวนอู
























โดยสรุปก็ถือว่า สะดวกสบายดี กับ Private Trip ทำให้ประหยัดเวลา และถนอมแรงกายได้เยอะ เพราะเดินทางไปกับเด็กๆด้วย มีความงอแงกันพอสมควร แม้ว่าจะได้นั่งรถกันตลอดทาง แต่ก็ถือว่า ตัดสินใจถูกแล้ว ที่เลือก Private Trip ในงานนี้
Symphony of Lights
เนื่องจาก ทริปไหว้พระ เสร็จรวดเร็วก่อนเวลา จึงทำให้เราได้มีเวลาเหลือเดินเล่นกันเล็กน้อยบริเวณ จิมซาจุ่ย ก่อนที่จะถึงเวลาไปนั่งรอชม Symphony of Lights ที่อ่าววิคตอเรีย ที่มีการแสดงทุกวัน เวลา 20:00 น. ถ้าจำไม่ผิดใช้เวลาประมาณ 10 นาที การแสดงจะเป็นการเปิดไฟจากตึกต่างๆในเกาะทั้งฝั่งฮ่องกงและเกาลูน ร่วมกับเสียงที่เข้ากันเป็นจังหวะ กับไฟที่เปิดมา มองดูแล้วก็สวยงามอลังการ แต่จะมีนักท่องเที่ยวไปรอดูกันเยอะมากๆ ก็ต้องหาพื้นที่รอชมดีๆ ถึงจะได้นั่งชมได้อย่างมีอรรถรส ค่ะ
Hongkong Disney Land
วันนี้เป็นวันที่สามของการเดินทางแล้ว จากสภาพอากาศ เป็นที่แน่นอนแล้วว่า วันนี้ฝนจะตก ทำให้เราเตรียมความพร้อมเรื่องฝนกันมาอย่างดี





แต่สุดท้ายแล้ว ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเรา ที่เลือกมาในช่วงหน้าฝน และวันที่ฝนตกเล็กน้อย
เนื่องจากจริงๆแล้ว ฝนไม่ได้ตกหนักมา แค่ตกปรอยๆ ตลอดทั้งวัน และทำให้อากาศไม่ได้ร้อนแบบแดดเปรี้ยงๆมาก คนเข้าแถวรอคิวเล่นเครื่องเล่นก็ไม่ได้เยอะมากๆ เหมือนตอนที่เราเคยมาก่อนหน้านี้
ซันและสกาย ชอบกันมากๆ ตอนแรกนึกว่า จะกลัวเครื่องเล่นบางอย่าง เพราะทั้งมืด ทั้งเหวี่ยงขึ้นลง แต่ปรากฎว่า 2 คนนี้ไม่มีใครกลัวเลย จนซันยกให้ Disneyland เป็นที่เที่ยวอันดับ 1 ในใจซัน ของทริปนี้เลย
























สิ่งที่แตกต่างจาก ทริปก่อนหน้านี้ที่เราเคยมา ก็คือ มีโซน Frozen มาเพิ่ม เนื่องจากเป็นเครื่องเล่นใหม่ และยอดฮิต ยังไงก็รอคิวค่อนข้างนาน ประมาณ 40 นาที ตามเวลาที่ปกติ แต่ก็ถือว่าคุ้ม เพราะแสง สี เสียงภายในนั้น จัดเต็มจริงๆ หลายๆคนน่าจะชอบ โดยเฉพาะตอนที่เอลซ่าออกมาร้องเพลง Let it go แล้ว เครื่องเล่นก็พาเราถอยรูดออกไปตามจังหวะเพลงพอดี มันwow จนสกายต้องร้องwow ออกมา



“Momentous” Nighttime Spectacular
และที่พลาดไม่ได้กับ Highlight อีกหนึ่งจุดที่ทุกคนรอชม คือ ช่วงเวลาการแสดงพลุ และแสงสีเสียงจาก HK Disneyland ที่ทำได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก ณ เวลาที่เราไป การแสดงเริ่ม 21:00น. ประกอบกับฝนที่เริ่มตกลงมาหนักขึ้นตั้งแต่ 20:00 น.
ถือเป็นเรื่องที่พ่อบี ตัดสินใจอย่างถูกต้องอีก 1 เรื่อง ที่เลือกซื้อแพคเกจ รับประทานบุฟเฟต์อาหารเย็นที่ The Explorer’s club เพื่อแลกกับการได้ reserved spot ในตำแหน่งหน้าปราสาท เพื่อได้ดูการแสดงพลุอย่างเต็มที่ ไม่ต้องคอยไปจองที่ หรือเบียดเสียดกับคนจำนวนมาก ยิ่งตอนช่วงเวลานั้นที่ฝนตก ทุกคนยืนกลางร่มกันหมด ถ้าถึงช่วงเวลานั้น แล้วเราต้องกระเตงลูกไปด้วยอย่างนั้น นึกไม่ออกจริงๆ ว่าสภาพจะเป็นยังไง





ถามว่าแพงไหม กับเงินที่เสียไป ถ้ามองว่าเพื่อทานอาหารบุฟเฟต์ ก็ถือว่า ราคาสูงมากอยู่ (แต่ถ้าเทียบกับค่าครองชีพคนฮ่องกง มื้อนั้นอาจจะไม่ได้แพงมากนะ) แต่อาหารก็มีค่อนข้างหลากหลาย และถือว่าเป็นมื้อเดียวที่เราทานได้เต็มที่และจุใจจริงๆตั้งแต่มาเหยียบที่ฮ่องกง
แต่ถ้าถามว่าคุ้มไหม ต้องตอบเลยว่าคุ้มมาก เพราะช่วงเวลาหลังทานข้าวเสร็จ เรายังไปเล่นเครื่องเล่นกันต่อได้อีก 2 เครื่องเล่น ไม่ต้องเสียเวลาไปยืนตากฝนรอจองที่ดูพลุ เมื่อถึงเวลาดูพลุ ก็ดูได้เต็มที่เลย
ครั้งนี้ตั้งใจมาแก้มือ เพราะเมื่อ 12 ปีก่อน เราประทับใจกับการแสดงพลุที่นี่ ที่สวยงามอลังการมาก
จนต้องขอบันทึกเป็น VDO เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ แต่…เราลืมกดอัด VDO!!!
ครั้งนี้เลยว่าจะมาขอแก้มือ หลังจากผ่านมา 12 ปี เพิ่งจะได้มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง เพื่อมายืนตรงนี้ และถ่าย VDO พลุดีสนีย์ที่ฮ่องกง ในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นอีกภารกิจนึงที่ได้ทำสำเร็จ ค่ะ
Sheraton Hong Kong Tung Chung
ส่วนตัวก็ไม่เคยคิดติดหรูว่าจะนอนที่ Sheraton โรงแรมระดับ 5 ดาวเลยนะคะ
แต่ในตอนนั้น อยู่ในระหว่างการเลือก ว่า จะนอนที่ Hongkong Disneyland Resort Hotel หรือ ที่พักอื่นๆ ที่ใกล้ๆสนามบิน และ HK Disneyland ดี
แต่สุดท้าย เราก็ถูกดึงดูดด้วยแพกเกจการขายที่ Sheraton เพราะด้วยราคาที่พอๆกัน หรืออาจจะถูกกว่า กับ การพักที่ Hongkong Disneyland Resort Hotel เราได้ทั้ง
– ตั๋ว HK Disneyland สำหรับผู้ใหญ่ 2 ใบ
– ค่าแท๊กซี่ไป-กลับ โรงแรม เบิกได้เที่ยวละไม่เกิน 150 HKD (ซึ่งนั่งจริงๆแล้วไม่ถึง ประมาณ 140-144 HKD)
– Shuttle Bus ไป-กลับ MTR Tung Chung Station เพื่อไปเที่ยวนองปิงในวันรุ่งขึ้น
– Shuttle Bus ไป สนามบิน
– ที่ฝากกระเป๋าในวันสุดท้ายหลังเช็คเอาท์ก่อนจะไปสนามบิน
– อาหารเช้าแบบบุฟเฟต์เต็มอิ่ม ที่ไม่ต้องไปเดินซื้อที่เซเว่น
– คูปองส่วนลด ถ้าซื้อของที่ Citygate อีก 100 HKD (แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้ เพราะไม่มีเวลาช้อปปิ้ง)
โดยสรุปก็คือ การตลาดของที่ Sheraton ก็ดีจริงๆแหละ เลยดึงลูกค้าอย่างเราให้เลือกไปพักที่นั่นได้
เพราะมองยังไงก็คุ้มค่ากว่า เลือกโรงแรมอื่นๆ จึงได้กัดฟันจองไป ด้วยเสียงกระซิบจากพ่อบี ว่า “จองไปเหอะๆ”
Nong Ping 360 Cable Crystal Car with 100% DORAEMON & FRIENDS TOUR
ทริปนี้ต้องบอกได้คำเดียวว่า เราเลือกช่วงเวลามาได้เหมาะเจาะพอดีมากๆ
ตอนแรกก็หวั่นๆ เพราะตรงกับหน้ามรสุม และหน้าร้อนของที่ HK
แต่ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดี
เพราะมา 4 วัน ฝนตกจริงๆก็ 2 วัน ช่วงที่ตกหนัก ก็เป็นช่วงเย็นๆ ค่ำๆ
และที่สำคัญ คือ ช่วงที่มา เป็นช่วงที่ฮ่องกง กำลังมี งานนิทรรศการ 100% DORAEMON & FRIENDS TOUR พอดิบพอดี
ตอนที่รู้ตอนแรก คือ แทบกรี๊ด แต่ก็ยังไวไม่พอ ที่จะจองตั๋วให้เข้าไปดูนิทรรศการที่อยู่ตรงหน้าห้าง K11 ได้ จึงทำได้แต่ถ่ายรูปรอบนอกเอา และก็ถ่ายรูปกับทุกจุดที่มี ตัวโดราเอมอนตั้งไว้ ตามตำแหน่งจุดต่างๆใน MTR station









แต่ที่ไหนก็ไม่ wow หรือมี ตัวโดราเอมอนเยอะ เท่ากับจุดที่นองปิง 360
ที่ต้องมาลุ้น คือ เราจะโชคดีพอ ที่จะได้นั่งกระเช้า นองปิง รูปโดราเอมอนไหม?
ตอนขาไป เรานั่ง Crystal Cabin Car แต่ก็ยังพลาดไปนิดเดียว ทำให้ยังไม่ได้นั่ง กระเช้าโดราเอมอน
ตลกดี ที่ซัน เลยยกมือไหว้ สาธุ สาธุ ขอให้ผมได้นั่งกระเช้าโดราเอมอนด้วยนะครับ
แล้วเทวดาฟ้าดินก็เลยจัดให้ ในขากลับ ที่ได้ ลายโดราเอมอนพอดี แบบโป๊ะเช๊ะ


















ทำให้พ่อบี ต้องได้เสียค่า ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก 2 รอบ เพราะ ขาไปก็โอนซัน induce ให้ซื้อรูปที่ระลึกไปแล้ว ขากลับ ก็ อยากซื้อ เพราะได้กระเช้าลายโดราเอมอน
แม่นิกถามว่าเท่าไหร่ พ่อบีบอกว่า อย่ารู้ราคาเลย !
Ok ไม่รู้ก็ได้!
ขาไป วิวก็สวยงามตามท้องเรื่อง เพราะว่า เป็น Crystal Cabin Car จึงมีความหวาดเสียว กับภาพที่อยู่ข้างล่างพอสมควร ขาไป สกายและซันไม่กลัวเลย
แต่ขากลับ อยู่สกายก็อ้อน บอก มาม้า อุ้มหนูหน่อย หนูกลัว
งงเลย แล้วทำไมรอบแรก ไม่กลัวนะ
แต่ขากลับ เหมือนเรา อยู่ในอุโมงค์หมอก เพราะแทบจะไม่เห็น วิวข้างนอกเท่าไหร่ มีแต่หมอกปกคลุมไปตลอดทั้งเส้น เห็นแค่ระยะใกล้ๆ 3 เมตร ว่า มีแต่ สายเคเบิล เป็นสายนำทางเท่านั้น น่ากลัวเหมือนกัน
โดยสรุป
สำหรับทริปนี้ ได้บทเรียนสอนใจอยู่4-5 เรื่อง
- อย่าไว้ใจของถูก โดยเฉพาะสายการบินแบบ Low cost ถ้าเรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญ อย่าเสี่ยง กับสายการบินที่ไม่ได้เช็คประวัติเรื่องความดีเลย์มาก่อน แม้ว่าราคาจะยั่วใจมากแค่ไหนก็ตาม
- เวลาใช้ Google Map นำทาง ก็อย่าเชื่อเสมอไป บางที อาจจะมีทางที่ง่ายกว่า ที่ Google Map ไม่ได้แนะนำ แต่เราต้องอาศัย ซอกแซก และค้นดูช่องทางอื่นๆ ร่วมด้วย อย่างที่ว่า บางทีจุดหมายปลายทาง อาจจะไม่ได้เดินทางได้ด้วยเส้นทางเดียวเสมอไป
- ในสิ่งที่เกินความคาดหมายใดๆในทริปนี้ แต่ใดๆคือ app Trip.com ช่วยได้เยอะมากๆ เรียกได้ว่า ครบทุกเรื่องเที่ยวจริงๆ ทั้งจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม จองตั๋วเข้าที่เที่ยว จองรถรับส่งสนามบิน ครบหมดในแอปเดียว ที่ประทับใจมากๆ คือ เรื่องการพยายาม alert ที่สายการบินเราเปลี่ยนแปลงเวลา
- ตั้งแต่เที่ยวกับลูก เวลาช้อปปิ้งน้อยลงไปมาก แทบไม่เหลือเวลา และสมาธิ ในการช้อปปิ้งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป คราวหลังต้องหาที่ช้อปปิ้งที่มีสนามเด็กเล็กไว้ด้วย หรือไม่ก็ต้องรอลูกโต ค่อยช้อป >_<
- ค่าครองชีพที่ฮ่องกง ณ เวบานี้ ถือ ว่าสูงมากๆ ไกด์ที่พาเที่ยวบอกว่า ติดอันดับ 1 ครองโลก มา 4-5 ปีซ้อนแล้ว แล้ว เราก็ว่าสูงจริงๆ เหมือนกับเงินไทย แต่คูณ 5 กินแต่ละมื้อ อยากจะร้องไห้ T_T

