ตอนที่ 1 ตามล่าหาที่ดิน

ด้วยความที่มีลูกเล็ก และต้องย้ายตัวเอง มาอยู่ในบ้านของพ่อแม่สามี ทำให้เราเริ่มฉุกคิดมาได้ว่า จริงๆแล้ว เราควรจะมีบ้านเป็นของตัวเองได้แล้วนะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ มีความคิดแต่ว่า จะอยู่คอนโดมาโดยตลอด แม้กระทั่งตอนตั้งครรภ์ ก็ยังเล็งไม่เห็นความสำคัญของการมีบ้าน จนกระทั่ง ลูกได้เกิดออกมาแล้วเท่านั้นแหละ การที่จะให้มีคนมาช่วยเลี้ยง หรือการที่มีของเด็กเพิ่มมากขึ้นอีกมากมาย ไหนจะเตียงเด็ก ไหนจะเสื่อกันล้ม ไหนจะคาร์ซีทและรถเข็น มันไม่สามารถยัดทั้งหมดนี้ อยู่ในห้องเล็กๆของคอนโดได้! ให้ตายเถอะ! นี่จึงเป็นครั้งแรกจริงๆที่ฉันเริ่มคิดว่า ต้องมีบ้านของตัวเองจริงๆจังๆซะแล้ว

จะขอข้ามตอนที่ไปมองหา บ้านจัดสรร เพื่อซื้อแล้วอยู่เลย ออกไปละกันนะ โดยสรุป ก็คือ มันไม่โอ! พื้นที่ใช้สอยไม่ตอบโจทย์ความต้องการ เสียเงินราคาสูงมาก แต่ได้บ้านหลังนิดเดียว อีกทั้งห้องแต่ละห้องก็แคบกว่าห้องที่อยู่ปัจจุบัน ถ้าอยากต่อเติม ก็เสียเงินเพิ่มต่างหากอีก ครั้นจะไปซื้อบ้าน หลังใหญ่ๆ เป็นคฤหาสน์ ราคาก็ไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาท ด้วยชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ก็คงไม่ไหว จึงมองหน้ากันกะสามี คุยกันแล้วคุยกันอีก สรุปสุดท้าย เราหาซื้อที่ดินปลูกบ้านกันเองเหอะ

เพราะฉะนั้น จึงต้องตามล่าหาที่ดิน ที่ตรงใจ คราวนี้ ก็ต้องตระเวนมองหาที่ดิน ละแวกแถวๆสมุทรปราการ โจทย์ของเราคือ อยากได้ที่ดินที่อยู่ในหมู่บ้าน เพราะรู้สึกว่าปลอดภัยกับชีวิตและทรัพย์สิน หากซื้อที่ดินเปล่า ข้างนอก เราไม่รู้ว่าในอนาคต ข้างๆบ้านเราจะเป็นอะไร จะกลายเป็นหอพัก หรือโกดังเก็บของ โรงงานอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้าเลือกที่ดินในหมู่บ้าน อย่างน้อย ก็ยังมั่นใจได้ว่า เป็นบ้านคน แน่นอน และยังมียามหรือรปภ.คอยดูแลควาปลอดภัยให้อีก

ช่วงนั้น ลูกยังเล็ก ก็ต้องกระเตงลูกกันไปในรถ ขับๆวนๆดูหลายๆที่ หลายๆจุด เรื่อยไป จนกระทั่ง เข้ามาเจอที่ดินแปลงนึง ที่พอเราเปิดจากรถลงไปดู รู้สึกว่า ที่ดินผืนนี้สวยมาก อากาศดี ปลอดโปร่ง รู้สึกไปเองว่า ที่ดินแปลงนี้ใหญ่ และสวยจัง จำได้ว่า ปีกลาย เคยวนเข้ามาดูที่หมู่บ้านนี้ ก็รู้สึกว่า หมู่บ้านนี้ ดูเงียบ น่าอยู่ดี แต่ราคา น่าจะไกลเกินเอื้อม เพราะเค้าขายกันเป็นแปลงใหญ่ๆ ตอนนั้น น่าจะไม่ได้สังเกตเห็นแปลงนี้ และน่าจะไม่ได้มีติดป้ายขายอีกด้วย แต่ตอนนี้ มายืนดูในจังหวะที่กำลังหาซื้อที่ดิน ก็รู้สึกว่า แปลงนี้ ดูพอเหมาะพอเจาะ ขนาดกำลังดี ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป อีกทั้ง รูปแปลงก็ดูสวย เป็นสี่เหลี่ยม เกือบจะจัตุรัส เป็นแปลงหัวมุม ต้นซอย ไม่อึดอัด ขณะนั้น ก็ได้แต่ถ่ายรูป เบอร์โทรคนขายเอาไว้ก่อน และตระเวนดูที่อื่นต่อ

สำหรับการตัดสินใจใหญ่ๆ ในครอบครัวคนจีน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่แม่สามี จะต้องมาเกี่ยวข้องด้วยกับการตัดสินใจของลูกชาย ของเราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน พอแม่สามีได้ข่าวว่า เราจะหาซื้อที่ เค้าก็อดไม่ได้ ที่จะช่วยสอบถามคนรู้จัก ช่วยหาที่ทำเลดีๆให้ แต่หลังจากที่พาไปตะเวนดู ที่ดินที่หมายปองไว้ และที่ดินแปลงอื่นๆ พ่อสามี ซึ่งปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด ถึงกับพูดออกมาเลย ว่าแปลงที่เราพาไปดูน่ะ สวยที่สุด เทียบกับแปลงอื่นๆแล้ว น่าอยู่อาศันยมากที่สุดแล้ว ซึ่งอันนี้ แม่สามีก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วย

ดังนั้น เมื่อผ่านด่านสำคัญได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การเจรจาซื้อที่ดิน จะนับว่าเป็นดวง ก็น่าจะใช่ เพราะจากที่ป้าเจ้าของที่ดินเค้าเล่าให้ฟัง เค้าบอกว่า ที่ผืนนี้มันคงจะเป็นของเราจริงๆแหละ เพราะก่อนหน้านี้ มีคนเคยมาติดต่อขอซื้อที่แปลงนี้จากแก แต่แล้วก็หายเงียบไปอยู่นาน จนเช้าวันที่เราโทรศัพท์ไปถามเรื่องราคา ป้าแกเพิ่งบินกลับมาจากต่างประเทศ แกยังคิดอยู่เลยว่า ใครโทรมาแต่เช้า คือถ้าเราโทรมาก่อนหน้านั้นวันสองวัน เราคงจะโทรไม่ติด และอาจจะไม่ได้โทรซ้ำอีกก็ได้ และเราก็โทรติดต่อและตัดสินใจตกลงซื้อในช่วงเวลาที่เจ้าที่เคยติดต่อป้าก่อนหน้านั้นเค้าเงียบหายไปพอดี พอเค้ามาติดต่อทีหลัง ก็ปรากฎว่า ป้าตกลงจะขายให้เราไปแล้ว

ส่วนความรู้ในเรื่องของการซื้อที่ดินนั้น เราเองก็เพิ่งจะเคยซื้อที่ดินเองเป็นผืนแรก ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน ว่าธนาคารปล่อยกู้ยาก สำหรับที่ดินเปล่าๆ ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ส่วนใหญ่เขาจะซื้อกันด้วยเงินสด แต่หากต้องการก็ธนาคาร ก็จะได้ดอกเบี้ยแพงกว่าปกติทั่วไป หรือถ้าจะเอาดอกเบี้ยเหมือนซื้อบ้าน ก็ต้องทำเรื่องกู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งนั่นหมายความว่า เราต้องมีเอกสาร พวกใบขออนุญาตปลูกสร้าง ใบสัญญาผู้รับเหมา ใบขออนุญาตให้ปลูกสร้างบนที่ดินจากเจ้าของที่ดิน มายื่นพร้อมกู้ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดนี้ ต้องใช้เวลาในการเตรียมการนาน และกว่าจะได้ยื่นขออนุญาต เอกสารครบ ก็จะยิ่งนานไปอีก แม่สามีเราบอกว่า เจ้าของที่ เค้าคงไม่มานั่งรอเราหรอก เพราะเค้าก็อยากจะรีบๆขาย

อุปสรรคก้อนโตชิ้นนี้ ก็ทำเอาเราสองสามีภรรยา ต้องมานั่งรวบรวมเงินในบัญชีทั้งหมด เท่าที่มี รวมถึงในหุ้นกองทุนอะไรต่างๆ เรียกว่า เททิ้ง ขายหมดพอร์ต กันเลย บทเรียนนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งว่า เราไม่น่าจะเหมาะกับการเล่นหุ้นหรือกองทุนเท่าไหร่นัก เพราะสุดท้ายแล้ว เหมือนเอาเงินไปกองทิ้งไว้ ให้คนอื่นปั่นเล่น รวมๆแล้ว จะขาดทุนเสียมากกว่ากำไร ต่อไปคงต้องรอบคอบมากกว่านี้ในการเก็บเงิน

เอาเป็นว่าสมทบทุนกันทั้งหมด ถอนจนเกลี้ยงบัญชี ก็ทำให้เราสองคน พอที่จะซื้อที่ดินผืนนี้ด้วยเงินสดได้ จึงได้นัดหมายกันไปโอนที่ดิน แล้วสุดท้าย ก็ทำให้ได้โฉนดมาเป็นของเราเอง เย้!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *